วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ มั่นใจคล้อง "สมเด็จ" ติดคอ

นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ มั่นใจคล้อง "สมเด็จ" ติดคอ

ในห้วงนี้ ชื่อของ "สงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์" ทนายความหนุ่มใหญ่วัย 43 ปี ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ได้รับความไว้วางใจจากพระเทพปริยัติวิมล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย แต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกฎหมาย

ผล งานที่สร้างชื่อ อาทิ การดำเนินการกับบริษัทเอกชน และบุคลากรของ มมร. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการอ้างนำชื่อ มมร. และนำตราสัญลักษณ์ มมร.ไปขอเรี่ยไรเงินในการจัดสร้างพระไตรปิฎกฉบับภาพยนตร์, ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งและชนะคดีเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทรถยนต์ที่ส่งรถไม่ ตรงกับสัญญา เป็นต้น

สำหรับประวัตินายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ เกิดเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2511 จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม จ.นนทบุรี จบปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จากมหา วิทยาลัยสยาม และเนติบัณฑิตยสภา

ส่วนประสบการณ์การทำงาน (ที่ปรึกษากฎหมาย) เคยเป็นอดีตกรรมาธิการวิสามัญ คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒน ธรรม สภาผู้แทนราษฎร และอดีตที่ปรึกษา คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

"ทนายสงกรานต์" เล่าถึงวัตถุมงคลที่นำมาแขวนไว้ที่คอ ว่า "พระเครื่อง วัตถุมงคลส่วน ใหญ่ มีผู้ใหญ่และคนที่เคารพนับถือมอบให้เป็นสิริมงคลในโอกาสต่างๆ แต่องค์ที่ห้อยคอเป็นประธาน คือ พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์ใหญ่ เป็นพระเครื่องของ คุณปู่ที่เป็นนายตำรวจเก่าตกทอดมาถึงคุณพ่อ ก่อนรับสืบทอดมาถึงผม ได้รับมาเมื่อ 6-7 ปีมาแล้ว ถือเป็นสิ่งมงคลของครอบครัวที่มอบให้ทายาทตามลำดับ ซึ่งผมได้นำไปเลี่ยมทองแขวนไว้เป็นอย่างดี"

นอกจากพระสมเด็จบางขุนพรหม ที่นำขึ้นคล้องคอ ทนายสงกรานต์ ยังห้อยพระเครื่องอีก หลายองค์ อาทิ พระสมเด็จจิตรลดา ปี 2512, เหรียญหลวงปู่เอี่ยม หลังยันต์สี่ วัดหนัง, พระซุ้มกอกำแพงเพชร, เหรียญหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และอีกหลายองค์

"แต่ก่อนผมไม่ค่อยได้เข้าวัดทำบุญ แต่ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับคณะสงฆ์ ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งผมได้รับความเมตตาจากอธิการบดี ทำให้มีโอกาสเข้าวัดฟังธรรม และปฏิบัติธรรมตามแต่โอกาสเอื้ออำนวย เพราะด้วยหน้าที่การงานของเรา ยังต้องออกไปว่าความรับทำคดีให้กับลูกค้าที่มาติดต่อเรา ต้องเดินทางไปแต่ละสถานที่ทั้งใกล้และไกล"

ทนายความหนุ่มเล่าว่า ปกติจะห้อยพระไว้ติดตัวคุ้มกาย เชื่อมั่นว่า เวลาเกิดเหตุร้ายจะคอยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลใจเรา ทั้งนี้ พระเครื่องหรือวัตถุมงคลทุกรุ่น ล้วนได้พระเกจิอาจารย์ประกอบพิธีปลุกเสก แต่ละองค์มีพุทธคุณเข้มขลังโดดเด่น

ทั้งนี้ เคยมีประสบการณ์เฉียดตายมาหลายครั้ง แต่รอดจากภาวะอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยเชื่อว่าเป็นพุทธคุณแห่งวัตถุมงคลให้ความคุ้มครอง จนแคล้วคลาดมาได้อย่างปลอดภัย

"3-4 ปี ก่อน ผมได้เดินทางไปทำธุระที่ จ.ลำปาง ขับรถไปตอนกลางคืน ซึ่งเป็นเส้นทางถนนคดเคี้ยวบนภูเขา ขณะกำลังขับรถตามปกติ ปรากฏว่ามีรถกระบะพุ่งสวนมาอย่างกะทันหัน ด้วยความตกใจ จำต้องหักพวงมาลัยหลบไปข้างทาง ซึ่งเป็นเหวลึก ตอนนั้นนึกในใจว่ารถคงพุ่งลงเหวอย่างแน่นอน ได้นึกถึงคุณพระพุทธและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พกติด ตัวมาให้ช่วยเหลือ จากนั้นรถได้หยุดกึกตรงปากเหวพอดี"

"ผมเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นเพราะพุทธคุณของครูบาอาจารย์ได้ปกปักรักษาคุ้มครองเรา ตั้งแต่นั้นมา ทุกเช้าผมจะตื่นประมาณตี 4-5 ลุกขึ้นมาสวดมนต์ และนั่งสมาธิ"

"การที่เราห้อยพระเครื่องก็เพื่อเตือนสติ แม้จะมีประสบการณ์เฉียดตายไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง แต่เราก็ไม่ควรประมาทในการใช้ชีวิต ส่วนที่ถามว่าคล้องพระมีผลกับหน้าที่การงานหรือไม่ อยู่ที่ตัวเรากระทำแต่ความดี" นายสงกรานต์ เน้นย้ำ

คอลัมน์ มองอย่างเซียน

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น